Sunday, September 22, 2019

“ เมฆ...เพื่อนรัก ”




 เมฆ...เพื่อนรัก 

ผมนั่งซึมกระทืออยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อน ข้างกำแพงโรงเรียน ด้านหลังของผมมีซุ้มเฟื่องฟ้าบังอยู่จึงปลอดจากการมองเห็นของผู้คนทั่วไป ด้านหน้าเมื่อมองลอดกำแพงคอนกรีตออกไป ก็จะเห็นรถราวิ่งขวักไขว่ไปมา ถัดออกไปก็คือโรงพยาบาลนั่นเอง แล้วผมมานั่งทำอยู่อะไรที่นี่ ในช่วงคาบบ่ายวันนี้ ตอนนี้คงกำลังเป็นวิชาสุขศึกษาสิน่ะ
ผมมองไปที่ถนน นึกๆขึ้นมาก็อยากวิ่งไปให้รถทับตายให้มันรู้แล้วรู้รอดสะก็ดี...น่าแปลก เกือบทุกปีที่โรงเรียนนี้จะต้องมีคนตายปีละคนเป็นอย่างน้อย ปีก่อนนู้นรุ่นพี่ม.6 ผู้ชาย ผูกคอตายที่บ้าน ไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร และปีที่แล้วรุ่นพี่ม.5 ผู้หญิงก็กินยาฆ่าตัวตายเนื่องจากอกหักจากนักเรียนหญิงด้วยกัน...ปีนี้ยังไม่มีใครตาย รึว่าจะเป็นมึง.... “ไอ้แกะ
เอาละสิ “ไอ้แกะ ” ผู้ทรนง คนเก่งกล้าบ้าบิ่น ไม่กลัวอะไรง่ายๆ ถึงขนาดคิดสั้น ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่
ผมนั่งเหม่อมองออกไปข้างหน้า จิตใจล่องลอย ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เออ มันเกิดอะไรขึ้นกับกูว่ะเนี่ยะ ทำไมมันดูโหวงเหวงยังไงชอบกล เพื่อนๆที่เคยคบก็หนีหายไปหมด กรกนกก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว...นี่กูทำผิดขนาดนั้นเลยหรือ ถึงไม่มีใครให้อภัยกูเลย ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นานพอสมควร จนกระทั่ง
นายมานั่งทำอะไรที่นี่หือ แกะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง พร้อมกับเจ้าของเสียงเดินอ้อมมานั่งข้างๆผม
“นาย...ตั้งใจโดดเรียนเหรอ ” จริงสิน่ะ ที่บอกว่าไม่มีใครคบแล้ว อย่างน้อยก็มี “ไอ้เมฆ” นี่เองที่ยังมาเป็นห่วงเป็นใย ทั้งๆที่ไม่ค่อยสนิทกัน และไม่ได้อยู่ในแก๊งค์เดียวกันสะหน่อย
“อืม รู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ ไงก็ไม่รู้” ผมตอบอย่างขอไปที
“ถ้านายคิดมากเรื่องพวกแก๊งค์ของนายล่ะก็ นายมาอยู่กับกลุ่มเราก็ได้น่ะ” ไอ้เมฆเอื้อมมือมาจับมือผมแล้วกุมเอาไว้ น่าแปลกที่ผมมีความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด...ใช่แล้วความรู้สึกนี้มันได้อันตธานหายไป ตั้งแต่พี่ดำไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์ และพี่หมวดย้ายไปรับตำแหน่งสารวัตร ที่ภาคใต้...โดยหลงคิดว่า ตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถดูแลตัวเองได้ แต่แท้ที่จริง ภายในจิตใจลึกๆ ยังโหยหาความรักความอบอุ่น อยู่นั่นเอง
“อืม ขอบใจว่ะ ที่นายเข้าใจเรา” ผมบีบมือไอ้เมฆตอบ
“ไอ้พวกแก๊งค์นายนี่ก็กะไร จะตัดขาดความเป็นเพื่อนกันได้หลงคอเลยหรือว่ะ”
“พวกเขาคงโกรธเรามาก เราเองก็ไม่รู้สิ เราคงเลวมากในสายตาของเพื่อนๆ” ผมยังจำได้ติดตา ตอนที่ กรกนกร้องไห้เสียใจ พร้อมกับปา “กำไลเปลือกหอย” ลงกับพื้น ต่อหน้าผมและแจ๊ด ซึ่งมันเป็นของสิ่งเดียวที่ผมได้มอบให้กับเธอเมื่อตอนที่ยังรักกัน ในขณะที่เพื่อนๆรวมทั้งวาดและก้อย ได้ดึงตัวกรกนกออกไป ทุกๆคนมองผมด้วยสายตา ทั้งโกรธเคือง และ “เหยียดหยาม” โดยเฉพาะไอ้ซอ ถึงกับเดินมาชี้หน้าด่าผม ว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไปมึงขาดการเป็นเพื่อนกับพวกกู” ใช่เหตุการณ์ครั้งนั้นมันทำให้ผมสูญเสียกรกนก รวมทั้งเพื่อนๆในแก๊งค์ด้วย...
“จริงๆแล้วสาเหตุที่มันเกิดก็น่าจะมาจากเราเหมือนกัน ถ้าเราไม่แนะนำให้นายรู้จักกับ แจ๊ด เหตุการณ์พวกนี้คงไม่เกิดขึ้นจริงมั๊ย?” ไอ้เมฆเอื้อมมือมาบีบที่หัวไหล่ผมเบาๆ
“เฮ้อ!” ผมถอนหายใจแล้วพูดต่อไปว่า
“อย่าไปพูดถึงมันเลย เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เออ ตอนนี้นายได้ข่าวแจ๊ดบ้างรึเปล่า?
“อืม ตั้งแต่เกิดเรื่องในวันนั้น แจ๊ดก็เงียบไปเลยว่ะ แล้วก็ไม่ค่อยคุยกับแมวด้วย”
“ใช่กับเราก็ทำตัวห่างเหินไปเหมือนกัน เราเลยไม่รู้จะทำตัวยังไงดี”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก ไปเถอะไปเรียนกัน เราไม่อยากเห็นนายโดดอีกวิชาน่ะ”
ไอ้เมฆมันลุกขึ้นพร้อมกับดึงมือผมให้ลุกตามมันไปเรียน...ไม่รู้เป็นไงผมเดินตามมัน ไปอย่างไม่รู้ตัว
หลังจากจบคาบเรียนแล้ว แน่นอนไม่มีใครอยากคุยกับผม พวกแก๊งค์ของผม...เฮ้อ น่าจะเรียกว่า อดีตจะดีกว่า...ก็พากันไปติวกันเป็นกลุ่มก้อนเหมือนเดิม ส่วนผมสิคงต้องนั่งรถประจำทางกลับบ้านตามเดิม
“แกะ ถ้านายไม่สบายใจ ไปนอนค้างที่บ้านเราก็ได้น่ะ” ไอ้เมฆเดินตามหลังผมมา อืมก็ดีเหมือนกัน ไม่อยากกลับบ้านอยู่แล้ว ช่วงนี้ที่บ้านก็เงียบๆ ตั้งแต่พีกวางไปเรียนต่อที่อเมริกา พ่อก็เอาแต่ทำงานอยู่ที่โรงเรียนมืดๆค่ำๆ ส่วนแม่ก็สนใจอยู่กับร้านผ้าไหมที่กำลังเปิด ยุ่งๆกันไปหมด ถ้ากลับบ้านคงได้อยู่คนเดียวอีกแหละ
ผมเลยโทรไปบอกพ่อที่โรงเรียนของพ่อ ว่าวันนี้มีรายงานต้องรีบทำส่งพรุ่งนี้ ขอค้างที่บ้านเพื่อนแทน ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
บ้านไอ้เมฆมันอยู่ในฐานะ “ยากจน” มากเลยก็ว่าได้ ต่างกันลิบลับ กับการแต่งตัวและท่าทางของมัน ถ้าไม่มาเห็นบ้านของมันด้วยตาตนเอง ใครๆคงหลงเข้าใจว่าบ้านมันคงมีฐานะดีทีเดียว บ้านที่มันอยู่เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ลักษณะเหมือนบ้านชนบท ทั่วๆไป หลังคามุงสังกะสีเก่าๆ  ตัวบ้านลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีชานบ้านยื่นออกมาจากหลังคา และอยู่ในระดับต่ำกว่าตัวบ้านประมาณครึ่งเมตร เพื่อทำลานเอนกประสงค์ ตรงขอบๆชานจะมีไม้ฉลุล้อมรอบอีกที และมีบันไดอยู่ตรงกลางๆ เลยไปทางขวามือของชานบ้านจะเป็นห้องครัวเล็กๆ ส่วนตัวบ้านที่ยกสูงขึ้นจากชานบ้านจะเป็นที่โล่งเหมือนศาลาวัด เป็นที่นอนของ ตา อายุราว 60 แล้ว และหลานชายสองคน อายุ 10 ขวบ และ 5 ขวบ เป็นลูกของน้าสาวที่ไปทำงานที่กรุงเทพ ด้านหลังที่ตานอน จะเป็นห้องที่ไอ้เมฆมันอยู่ เคยเป็นห้องของยายซึ่งเสียชีวิตแล้ว อีกห้องหนึ่งด้านขวามือเป็นห้องของน้าสาวมันชื่อ “น้าแนน” สามีไปทำงานแรงงานต่างประเทศ แถวๆตะวันออกกลาง
ไอ้เมฆแนะนำผมให้รู้จักกับตา แกดูท่าทางใจดีมากและดูจะถูกชะตากับผมตั้งแต่เริ่มเห็นหน้ากันครั้งแรก ส่วนน้าสาวของมันก็ต้อนรับผมอย่างอบอุ่นเช่นกัน เจ้าตัวทะโมนสองคน ก็เริ่มเข้ามาคุ้นเคยกับผมด้วยโดยพยายามชวนผมเล่นด้วย จนตาต้องดุ ให้ผมไปเก็บข้าวของในห้องก่อน
ห้องไอ้เมฆมีเตียงนอนเหมือนแคร่ ขนาดสองคนนอนได้ และมีเสาไม้ตั้งขึ้นทั้งสี่มุม เพื่อรับกับคานทั้งสี่ด้าน จากนั้นจะมีมุ้งสีขาวกางโอบรอบอีกที คิดไปคิดมายังกะที่นอนของราชาเลย หุ หุ ถ้าไม่ติดที่ว่ามุ้งจะดูเก่าๆไปแล้ว และตัวไม้ก็เป็นไม้อัดธรรมดาๆ ราคาถูกๆ ห้องนี้จะถูกกั้นด้วยตู้เสื้อผ้าอีกที เลยเหลือพื้นที่จำกัด สำหรับทางเดินด้านข้างๆจะเป็นหน้าต่าง และมีโต๊ะเล็กๆอยู่ที่หัวมุมเพื่อเก็บหนังสือ
ไอ้เมฆให้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของมัน แล้วก็พาผมไปตักน้ำ ที่ลำห้วย โหนี่จริงๆแล้ว บ้านมันห่างจากตัวเมืองไม่เกิน สองกิโลเลยน่ะ น้ำประปายังไม่เข้าอีกเหรอ มันพาผมลากรถเข็นที่บรรจุด้วยกระป๋องน้ำเปล่าๆ ขนาดที่เราเห็นเขาบรรจุหน่อไม้ปี๊ปน่ะแหละ ประมาณสี่ห้ากระป๋อง ผมเดินตามมันผ่านไปที่กลางลานของหมู่บ้าน ก็เลยเข้าใจว่าทำไมต้องไปตักน้ำที่ลำห้วย เพราะที่ตรงนี้มีคนรอคิว โยกน้ำบาดาลกันอยู่หลายคน เฮ้อชีวิตคุณชายแกะ จะมาลำบากก็คราวนี้ เอาน่ะลองดู
เดินลากรถเข็นไปได้สักพักก็ถึงลำห้วย เออ มันก็ดูสะอาดดี น้ำใสเชียว ไอ้เมฆมันยกทีเดียวสองกระป๋องอย่างไม่สะทกสะท้าน มิน่าหุ่นมันถึงดี กล้ามเป็นมัดๆ ก็เพราะเหตุนี้แหละ..ลากน้ำมาเติมที่โอ่งด้านล่างเสร็จแล้ว นึกว่าจะได้พัก มันยังพาไปเติมน้ำใส่โอ่งอีกที่หนึ่ง ถัดจากบ้านของตามันไปทางด้านหลัง ...พระเจ้านี่บ้านคนรึเปล่าเนี่ยะ บ้านนี้หลังคานอกจากจะเก่าๆผุๆพังๆแล้ว ฝาบ้านแทนที่จะเป็นไม้ดันเป็นเสื่อชนิดหนึ่งที่ทำจากใบลาน.. มองดูดีๆ น่าจะเป็นกระท่อมปลายนา สะมากกว่า พอถามมันว่าบ้านของใคร ผมยิ่งตกใจใหญ่ เมื่อมันบอกว่าเป็นบ้านพ่อกับแม่มัน ซึ่งตอนนี้ไม่อยู่ ไปรับจ้างตัดอ้อย...ถ้าหมดฤดูตัดอ้อย พ่อมันจะรับจ้างขับสามล้อถีบ ตอนที่ผมเห็นมันถีบครั้งแรกน่ะแหละ ส่วนแม่มันจะหาบเร่ขายของไปเรื่อยๆ ...โห ชีวิตครอบครัวไอ้เมฆ !
หลังจากนั้นผมก็มานั่งกินข้าวข้างนอกชานบ้าน ซึ่งทุกคนนั่งล้อมวงกินกันอย่างอบอุ่น ไม่ได้ว่าอาหารวิเศษวิโสอะไร แต่ก็เป็นอาหารง่ายๆจำพวก ปลาทูทอด ผัดผักบุ้งไฟแดงซึ่งเก็บมาจากนา ประมาณนี้ แต่น้ำดื่มเป็นน้ำฝน เขาทำเป็นตุ่มเล็กๆสองตุ่มอยู่ตรงกลางระหว่างห้องครัว กับตัวบ้าน โดยขนถ่ายน้ำฝนที่ตุ่มใหญ่ข้างล่าง ซึ่งรองรับน้ำฝนจากหลังคาบ้าน ตรงนี้จะเป็นที่แปรงฟันล้างหน้าไปในตัวด้วย
ผมมาอาบน้ำข้างล่างซึ่งมีสังกะสีล้อมรอบ จากนั้นก็ซักเสื้อนักเรียนคาดว่าคงจะแห้งสำหรับพรุ่งนี้ แต่ไอ้เมฆไม่อาบน้ำด้วย...มันดันจะไปอาบที่บ้านของมัน ผมเดินไปเป็นเพื่อน ระหว่างทางมืดมาก นี่แค่ประมาณทุ่มเดียวเอง และอยู่หลังบ้านตาของมันไม่กี่สิบเมตร อาจจะเป็นเพราะมีต้นไม่ใหญ่จำพวก ต้นฝรั่ง มะม่วง บดบังอยู่ก็ได้.. ผมเดินไปเปิดไฟที่หน้าบ้านของมัน ซึ่งเป็นหลอดไฟกลมๆ ส่องมาที่ตุ่มอาบน้ำพอดี ทุกด้านมืดหมด จึงเห็นแสงสว่างตรงที่ไอ้เมฆอาบน้ำเหมือนสปอร์ตไลท์เลยทีเดียว
ผมเดินขึ้นไปนั่งเล่นบนชานบ้านของมัน เพื่อรอมันอาบน้ำ ไอ้เมฆมันค่อยๆถอดเสื้อออก โห ผิวมันขาวจั๊ว กล้ามเป็นมัดๆ ราวนมนูนแน่น ยิ่งหัวนมยังเป็นสีแดงๆอยู่เลย... ผมว่าผมหุ่นดีแล้วน่ะ แต่ไอ้เมฆมันมีกล้ามเนื้อมากกว่า ... มันสวมผ้าขาวม้าพันรอบเอว แล้วถอดกางเกงขาสั้นออก เหลือแต่กางเกงในสีดำๆ  ไม่รู้มันคิดยังไงถึงไม่ยอมถอดกางเกงในด้วยโดยยังคงนุ่งผ้าขาวม้าสวมทับอยู่ แต่ถึงยังไงหุ่นของมันช่างบาดตาบาดใจสะจริงๆ ....ไอ้เมฆใช้ขันจ้วงน้ำในตุ่มขึ้นมาราดตัว...ผมมองอย่างตกตะลึง.. ภาพของเพื่อนชายมาดแมน ผิวขาวๆสะอาดสะอ้าน แทบจะไม่มีขนสักเส้น กล้ามเนื้อเป็นมัด พร้อมกับกล้ามก้นโต่งๆ กำลังอาบน้ำอยู่ตรงหน้า ยิ่งตอนที่มันยกแขนขึ้นเพื่อถูสบู่ ขนจักกะแร้อันดกดำช่างเซ็กซี่ตัดกับผิวสีขาวของมันอย่างลงตัว...
ผมรู้สึกตัวว่า กำลังเกิดอาการประหลาด มันช่าง... วาบหวิว... เหลือเกิน “แกะน้อย” เริ่มค่อยๆดีดตัวขึ้นมาทันที... “โอ!ตายล่ะ” ผมเบือนหน้าหนี พร้อมกับรำพึงกับตัวเองว่า “ มันเกิดขึ้นอีกแล้วหรือ” ใช่ผมเคยลั่นวาจากับตัวเอง ว่าจะไม่เดินกลับไปเส้นทางนี้อีก แล้วทำไมถึงเกิดอาการแบบนี้ กับไอ้เมฆได้
ไม่รู้ว่าสัญชาตญานหรืออะไร ผมหันกลับมามองภาพที่อยู่ด้านล่างตรงหน้า ด้วยความเพลิดเพลิน พร้อมกับความกระสันต์สวาทที่ประทุขึ้นมา อย่างไม่สามารถระงับไว้ได้...ไอ้เมฆกำลังราดน้ำครั้งสุดท้าย พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองผมแบบยิ้มๆ ผมยิ้มให้มันพร้อมกับตะโกนลงไปว่า

“ เมฆ...ทำไมนายหุ่นดีจัง ”